วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2559

ความสุขที่แท้จริง

...คนเราทุกข์ไม่สร่างก็เพราะมัวแต่คิดถึงแต่ตัวเอง เพราะเหตุนี้ใช่ไหมชายชราจึงเตือนสติ มิเนโกะ อิวาซากิ ว่า "คนที่คิดถึงแต่ตัวเองย่อมอยากตายทั้งนั้น"...

มิเนโกะ อิวาซากิ เป็นอดีตเกอิชาที่มีชื่อเสียงทั่วโลกจากหนังสือเรื่อง Geisha และยังเป็นที่มาของหนังสือยอดนิยมเรื่อง Memoirs of a Geisha ของอาเทอร์ โกลเดน

ในวัยเด็กนั้นเธอมีชีวิตที่ลำบากแสนเข็ญ เนื่องจากเป็นเด็กกำพร้าและไร้การศึกษา ลุงจึงนำเธอไปขายให้แก่สำนักเกอิชาตั้งแต่ยังเล็ก ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยเคราะห์กรรม นอกจากสูญเสียน้องชายที่รักแล้ว เธอยังสูญเสียคนรักที่เป็นทุกอย่างในชีวิต

แล้ววันหนึ่งเธอก็ตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง เธอเดินเข้าไปในป่าท่ามกลางพายุหิมะและนั่งรอความตายอันหนาวเหน็บ แต่ชายชราผู้หนึ่งช่วยชีวิตเธอเอาไว้

ชายชราพูดประโยคหนึ่งซึ่งเตือนใจให้เธอได้คิด "คนที่คิดถึงแต่ตัวเองย่อมอยากตายทั้งนั้น" ชายชราขอให้เธอกลับเข้าไปในเมือง และทำดีกับผู้อื่นวันละคน หลังจากนั้นถ้าเธอยังอยากตาย เขาจะช่วยเธอให้สมปรารถนา

เธอทำตามที่ชายชราแนะนำ เธอเริ่มต้นด้วยการซื้อหนังสือให้เด็กยากจนคนหนึ่ง จากนั้นเธอก็เล่านิทานให้เด็กฟังวันละคนสองคน ต่อมาเธอเริ่มแต่งนิทานเอง นับแต่วันนั้นเธอไม่เคยกลับเข้าไปในป่าแห่งนั้นอีกเลย

ในยามที่เราประสบเคราะห์กรรม เรามักคิดว่าโลกนี้โหดร้ายกับเราเป็นอย่างยิ่ง "ทำไมถึงต้องเป็นฉัน ?" ทุกคนอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามนี้ราวกับว่ามีฉันคนเดียวที่โชคร้ายอย่างนั้น แต่ทันทีที่เรามองพ้นตัวเองออกไป จะพบว่าคนที่ทุกข์อย่างเราก็มีไม่น้อย และคนที่ทุกข์ยิ่งกว่าเรายังมีอยู่อีกมากมาย

การรับรู้ว่ายังมีคนอีกมากมายที่ทุกข์ยิ่งกว่าเรา ช่วยให้เราทานทนเคราะห์กรรมได้มากขึ้น แต่ดียิ่งกว่านั้นก็คือการก้าวพ้นจากโลกของตัวเอง ออกไปช่วยเหลือคนเหล่านั้น การได้ช่วยเหลือผู้อื่นไม่เพียงช่วยให้เราหมกมุ่นกับความทุกข์ของตัวเองน้อยลงเท่านั้น หากยังทำให้จิตใจได้รับความสุข สุขเพราะรอยยิ้มของผู้ที่ได้รับไมตรีจากเรา และสุขเพราะได้พบว่าชีวิตของเรายังมีคุณค่าอีกมาก หาได้ไร้ค่าอย่างที่เคยเข้าใจไม่

"ผู้ให้ความสุขย่อมได้รับความสุข" พุทธภาษิตนี้คือความจริงที่คงทนต่อการพิสูจน์เสมอ

หญิงผู้หนึ่งซึ่งเป็นแพทย์เด็กได้สูญเสียสามีอย่างปัจจุบันทันด่วน เธอโศกเศร้ามากจนไม่มีใจทำอะไรทั้งสิ้นแม้จะกลับไปที่ทำงานหลังเสร็จสิ้นพิธีศพ เธอก็ได้แต่นั่งจับเจ่าอยู่ในห้อง ไม่ออกไปหาคนไข้ และไม่พูดไม่จากับใคร หัวหน้าและเพื่อน ๆ ในแผนกกุมารเวชพยายามปลอบโยนและให้กำลังใจ แต่ก็ไร้ผล

ผ่านไปสองสัปดาห์เธอก็ยังไม่สร่างซาจากความโศกเศร้าและความเงียบงัน ในที่สุดหัวหน้าก็คิดวิธีหนึ่งขึ้นมาได้ เขานำทารกคนหนึ่งที่ป่วยหนักไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของเธอ พร้อมกับบอกว่าทารกคนนี้ต้องการการดูแลรักษา แล้วเขาก็เดินออกจากห้องไป

ทีแรกเธอก็นั่งเฉย แต่ไม่นานทารกก็เริ่มร้องไห้ เธอยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง แต่เมื่อทารกร้องดังขึ้น เธอก็อยู่เฉยไม่ได้ ลุกขึ้นมาดูทารก และพบว่าจำต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมและป้อนนม เสร็จแล้วเธอก็กลับไปจับเจ่าเหมือนเดิมอีก แต่ทารกไม่ยอมให้เธอทำเช่นนั้นได้นาน เธอจึงต้องลุกขึ้นมาดูแลเด็กเป็นระยะ ทีนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนผ้าอ้อม ป้อนนม แต่เยียวยาอาการเจ็บป่วยของเด็กน้อยด้วย

วันรุ่งขึ้นเมื่อกลับมาที่โรงพยาบาล สิ่งแรกที่เธอทำคือถามว่าทารกคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เธอเข้าไปตรวจดูอาการของทารกถึงเตียง และพบว่ายังมีทารกอีกหลายคนที่รอคอยการดูแลรักษาจากเธอ

วันนั้นทั้งวันเธอจึงง่วนอยู่กับการรักษาเด็ก วันถัดไปก็เช่นเดียวกัน เธอไม่มีเวลาที่จะเจ่าจุกกับความทุกข์อีกต่อไป ไม่นานเธอก็คลายจากความโศกเศร้า และกลับมาเป็นคนเดิมที่แย้มยิ้มหัวเราะได้

คนเราทุกข์ไม่ใช่เพียงเพราะว่าประสบกับสิ่งไม่สมหวังเท่านั้น หากยังเป็นเพราะเราเอาใจไปหมกมุ่นเจ่าจุกกับความไม่สมหวังด้วย ยิ่งหมกมุ่นก็ยิ่งทุกข์ แต่เมื่อใดที่ถอนใจออกไปจดจ่อกับสิ่งอื่นแทน ความทุกข์ก็จะบรรเทาลง

การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถดึงจิตออกไปจากความทุกข์ได้ อีกทั้งยังมีความสุขเป็นรางวัลตอบแทน

คนเราทุกข์ไม่สร่างก็เพราะมัวแต่คิดถึงแต่ตัวเอง เพราะเหตุนี้ใช่ไหมชายชราจึงเตือนสติมิเนโกะอิวาซากิว่า "คนที่คิดถึงแต่ตัวเองย่อมอยากตายทั้งนั้น"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้ารักตัวเองจริงก็อย่าลืมนึกถึงผู้อื่นให้มาก ๆ

ที่มา fwd mail

บางทีความสุขที่แท้จริงของคนเรา อาจไม่ได้เกิดจากตัวเราเอง


แต่เกิดจากการได้มีส่วนร่วมในการสร้างความสุขในชีิวิตของผู้อื่น :)

กางเกงลิงเกี่ยวอะไรกับลิง

พจนานุกรมฉบับมติชน นิยามศัพท์ "กางเกงลิง" ว่าหมายถึงกางเกงชั้นในรัดแนบเนื้อ ไม่มีขา เป็นภาษาปาก หรือภาษาพูด

เชื่อว่าน่าจะมาจากศัพท์ที่ภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษใช้ด้วยกันว่า "ลิงเจอรี-lingerie" ที่แปลว่าชุดชั้นในสตรี

สมัยโบราณผู้หญิงไทยนุ่งโจงกระเบน เข้าใจว่าคงไม่มีการใส่กางเกงชั้นใน ต่อมาเมื่อรับกระโปรงแบบแหม่มมาสวมจึงเริ่มใช้ชุดชั้นในแบบแหม่มด้วย แต่นิสัยคนไทยชอบพูดย่อๆ จึงเรียกกางเกงชั้นในแบบแหม่มเพียงคำต้นของ ลิงเจอรี ว่ากางเกงลิง

ลองไปค้นดูประวัติของ  lingerie ของฝรั่ง อ่านเจอในเว็บไซท์ ww.associatedcontent.com
อ้างว่า กางเกงชั้นใน lingerie นี้ กำเนิดขึ้นมา หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ประมาณ ค.ศ. 1922 สาวๆเริ่มใส่กระโปรงสั้น สรวมหมวก ตอนกลางคืนก็ออกไปเฉิดฉายในงานเต้นรำ
     
คำว่า lingerie นี้ มาจาก ภาฝรั่งเศส "lin" ที่หมายถึง linen ลินิน ริ่มต้นนั้นการใช้ชุดชั้นใน ก็เพื่อความอบอุ่น เพื่อสุขภาพอวัยวะภายใน อมาเริ่มมีแฟชั่นพัฒนามากขึ้น กคำหนึ่งที่ใช้ คือ panties ก็หมายความถึง  lingerie เช่นกัน เพราะเป็นเสื้อผ้าที่ใส่ข้างใน ที่เรียกว่า under wear สำหรับผู้หญิง
 
panties เริ่มใช้ในยุคที่การปฏิวัติฝรั่งเศสโดย Catherine de Medici  ซึ่งเกิดไอเดียที่ต้องการขี่ม้าโดยวิธีการขี่คร่อมเช่นเดียวกับผู้ชายจึงต้องมีเสื้อผ้าที่จะสามารถปกปิดร่างกายได้มิดชิด โดยไม่ต้องโชว์หวอสู่สายตาชาวโลก

ที่มา:www.matichon.co.th

http://www.thaimightsay.com/webboard/index.php?topic=3973.msg55945

อย่าใช้ยางลบ

สมัยเด็กๆ ครูสอนศิลปะท่านหนึ่งสอนฉันเสมอว่า ...เวลาเราใช้ดินสอวาดภาพ เราห้ามใช้ยางลบ

ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของครูสักเท่าไหร่ รู้เพียงแต่ว่าเวลาฉันวาดภาพแล้วเส้นมันบิดเบี้ยว ฉันก็อยากแก้ให้มันตรงสวย แต่ทุกครั้งที่ฉันหยิบยางลบขึ้นมาเพื่อจะลบภาพนั้น ครูของฉันก็จะเตือนถึงกติกานั้นเสมอ สุดท้ายฉันจึงเลือกใช้วิธีต่อเติมภาพๆ นั้นไปตามจินตนาการ เช่นถ้าฉันตั้งใจวาดรูปหน้าคน แต่ฉันเผลอวาดดวงตากลมโตเกินไป ฉันก็จะใช้วิธีเปลี่ยนตากลมๆ นั้นเป็นแว่นตาแทน

แม้ตอนนั้นฉันจะไม่เข้าใจว่า ทำไมฉันจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ และแม้ฉันจะไม่เคยคิดวาดรูปหน้าคนใส่แว่นตามาก่อน แต่ฉันก็ได้รูปหน้าคนตามที่ต้องการ แถมยังภูมิใจว่าฉันสามารถวาดภาพๆนั้นด้วยความมั่นใจและไม่ต้องใช้ยางลบลบภาพเลยสักครั้ง

เวลาผ่านไป ฉันโตขึ้น ฉันเรียนรู้ว่า สิ่งที่ครูสอนวันนั้นแท้จริงแล้วมันปลูกฝังนิสัยหนึ่งให้กับฉัน นั่นคือ การเข้าใจธรรมชาติของความผิดพลาด ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนทุกคน และในชีวิตหนึ่งนี้ก็มีหลายครั้งที่ฉันได้พบมันโดยไม่ตั้งใจ

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้นและรวบรวมสติเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ก็คือ การที่ฉันเข้าใจว่าธรรมชาติของความผิดพลาด คือการที่มันเกิดขึ้นแล้วจะคงอยู่อย่างถาวร

ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ ลบความผิดพลาดแต่ฉันจำเป็นต้องใช้สมองต่อเติมแก้ไขภาพวาดของฉันให้สมบูรณ์ด้วยตัวเอง ดังนั้น ถ้าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว การที่เราจะมานั่งร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนขอแหกกฎ เพื่อใช้ยางลบกลับไปลบแก้ไขมันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้

สิ่งเดียวที่จะทำได้็คือรู้จักพลิกแพลงแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยสติและวาดภาพของตัวเองต่อไปด้วยความระแวดระวังมากขึ้น

ทุกคนมีดินสอหนึ่งแท่งเพื่อจะวาดภาพชีวิตของเราให้สวยงาม แต่เราไม่มียางลบสักก้อนที่จะเอาไปลบสิ่งที่เราทำผิดพลาดมาแล้วได้ ดังนั้นเราต้องตั้งใจ และมีสติทุกครั้งที่ลากเส้น

และถึงแม้ภาพที่เราวาดจะออกมาไม่เหมือนกับภาพที่เราฝันไว้สักเท่าไหร่แต่มันก็มาจากมือของเรา เราควรจะภูมิใจกับมันได้เสมอ ไม่ต้องกลัวหรอก แม้จะรู้ดีว่าสักวันหนึ่งเราอาจลากเส้นบิดเบี้ยวไปบ้างเพราะถึงอย่างไร

ฉันเชื่อว่า

ถ้าสมองและหัวใจของเราทำงานอย่างเต็มที่ ภาพชีวิตของเราก็งดงามได้ โดยไม่ต้องใช้ยางลบ  

ที่มา fwd  mail


ธูปกี่ดอกบอกอะไร

ธูปกี่ดอก บอกอะไร

ธูป 1 ดอก
ไหว้ศพ เจ้าที่ วิญญาณธรรมดาที่ไม่ได้ขึ้นชั้นเทพ

ธูป 2 ดอก
ใช้บูชาเจ้าที่

ธูป 3 ดอก
ใช้บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ธูป 5 ดอก
ใช้บูชาพระรัตนตรัย บูชาราชการที่ 5 ธาตุทั้งห้า หรือทิศทั้งห้า พระภูมิ

ธูป 7 ดอก
ไหว้พระพรหม บูชาพระอาทิตย์ ถือคติคุ้มครองทั้ง 7 วันในสัปดาห์

ธูป 8 ดอก
บูชาเทพเจ้าของชาวฮินดู

ธูป 9 ดอก
บูชาแก้ว 9 ประการ พระพุทธคุณทั้งเก้า และพระเทพารักษ์

ธูป 10 ดอก
ใช้บูชาเจ้าที่ตามความเชื่อของชาวจีนบางกลุ่ม

ธูป 12 ดอก
บูชาเจ้าแม่กวนอิม บูชาพระคุณของแม่

ธูป 16 ดอก
บูชาเทพชั้นครู หรือ พิธีกลางแจ้งที่มีการอัญเชิญเทวดา ที่สำคัญ หมายถึงสวรรค์ 16 ชั้น

ธูป 19 ดอก
บูชาเทวดาทั้ง 10 ทิศ

ธูป 21 ดอก
บูชาพระคุณของพ่อ

ธูป 32 ดอก
ใช้สวดชุมนุมเทวดาทั้ง 4 ทิศ


ที่มา www.click2member.com

คติเตือนใจ [ดีมากๆ]

1. นึกว่าเสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับเธอ 3 ชั่วโมง
2. ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเค้าต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้งแน่!
3. หลับตานิ่งๆ ซัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรตรงหน้ามันช่างยากจัง
4. ระหว่างแปรงฟันถ้าฮัมเพลงด้วยไปจนจบจะทำให้ฟันสะอาดขึ้น 2 เท่าแน่ะ
5. เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาติธรรมดาก็จะอร่อยขึ้นเยอะ

6. ควรหัดพูดคำว่า ไม่เป็นไรให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า จะเอายังไง
7. สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้จึงเล่าให้มันฟังได้
8. อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด
9. เขียนชื่อคนที่เธอเกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้งความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ
10. ให้ปล่อยน้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้ง จะดูไม่ออกว่าเพิ่งร้องไห้มา

11. ก่อนจะซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อก่อน
12. ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าสลับกันไปเรื่อยๆก็ดูเหมือนจะเยอะขึ้น
13. เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ ดีกว่าคนได้เยอะจนจำชื่อคนให้ไม่หมด
14. ในวันที่รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองซักดอกแล้วจะดีขึ้น
15. แอบรักใครซักคน ยังไงก็ดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึก รักเป็นยังไง

16. ถึงจะไม่ได้ออกไปไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นี่
17. พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่มอาจไม่สนุกแต่มีประโยชน์แฝงอยู่
18. วันที่ตื่นเช้าๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าที่จะทำนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกายน่ะ
19. รู้รึเปล่าว่าดอกไม้ที่บานอยู่กับต้น ยังไงก็อยู่ได้นานกว่าบานในแจกัน
20. ทะเลาะกับใครๆ พร้อมรอยยิ้ม เรื่องราวจะจบง่ายกว่าที่คิดเยอะ

21. เอารูปตัวเองตอนเด็กๆ มาดูตอนเครียดอารมณ์จะดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
22. พยายามหาข้อบกพร่องของคนที่เธออิจฉาอย่างน้อยก็มีข้อปลอบใจตัวเองบ้าง!
23. โทรไปหาแฟนแล้วพูดแคคำเดียวว่า คิดถึงพอวางสายแล้วต้องยิ้มทั้งคู่
24. ในวงสนทนาถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะคุยอะไรรอยยิ้มช่วยแก้สถานการณ์ได้
25. ค่อยๆ เดินทอดน่องแบบสบายๆ ในวันที่ไม่มีธุระให้ต้องไปสะสาง

26. ซื้อของฝากทุกคนในบ้าน ก็เหมือนกับการซื้อของฝากตัวเองนั่นแหละ
27. จะหน้าตายังไงก็แล้วแต่ ถ้าทิ้งขยะลงพื้นก็กลายเป็นขี้เหร่ได้ทันตาเห็น
28. นั่งสมาธิให้นานๆ และบ่อยๆ ก็ทำให้ผิวสวยขึ้นได้เหมือนกัน
29. นอกจากตอนที่เคี้ยวข้าวแล้ว ไม่ว่าก่อนหรือหลังกินก็หัวเราะได้อร่อย
30. จินตนาการถึงเรื่องที่อยากมีหรืออยากเป็นคือยานอนหลับอย่างหนึ่ง

31. อ่านหนังสือหรือการ์ตูนโปรดเป็นการเติมน้ำมันให้ตัวเองอย่างดี
32. ยังไม่มีใครเคยแย้งว่า การอาบน้ำไม่สามารถคลายเครียดได้จริงๆ
33. ก่อนจะด่าใครให้นับ 1 ถึง 50 เผลอๆ อาจจะไม่อยากด่าแล้วก็ได้
34. ไม่ต้องทำยังไงกับเพื่อนที่หักหลังก็แค่อย่าเรียกเค้าว่าเพื่อนก็พอแล้ว
35. รักครั้งแรกส่วนใหญ่ก็อกหักทั้งนั้น น่าจะดีใจที่ไม่แปลกกว่าชาวบ้านเค้า

36. การที่ทำของหายอาจเป็นการใช้หนี้ของชาติที่แล้วให้คนอื่นที่เก็บมันได้
37. ถึงจะไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าซักบาท ยังดีกว่าไม่มีเสื้อผ้าให้ใส่ตั้งเยอะ
38. หนี้ที่โดนเบี้ยวไป ทำให้เรารู้จักใครบางคนดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้เวลามาก
39. คนอื่นไม่เข้าใจเราไม่เห็นแปลก ในเมื่อเราก็ไม่เข้าใจคนอื่นเหมือนกัน
40. ไม่ต้องช่วยใครๆ ด่าตัวเอง ถ้าสิ่งที่ทำไปแน่ใจว่าพยายามเต็มที่แล้ว

41. วิ่งให้เหนื่อยมากๆ ความโกธรจะได้ถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อ
42. ถ้ากลัวจะนอนฝันร้าย สวดมนต์ก่อนนอนเหมือนตอนเด็กๆ ดูสิ
43. ของฝากสำหรับคนห่างไกล คือการโผล่ไปเซอร์ไพรส์ด้วยตัวเอง
44. เพลงจังหวะมันๆ ทำให้คนฟังกระปรี้กระเปร่าได้โดยอัตโนมัติ
45. อย่าเดาว่าอะไรอยู่ในกล่องของขวัญ แล้วจะไม่รู้จักคำว่าผิดหวัง

ที่มา fwd mail

ทำไมต้องสีกา เป็นสีอื่นไม่ได้เหรอ

เป็นสีอื่นไม่ได้หรอก ต้องเป็นสีกานั่นแหละ เพราะคำนี้ตัดมาจากคำว่า อุบาสิกา ซึ่งเป็นคำที่บรรพชิตเรียกคฤหัสถ์ผู้หญิงที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง คำ อุบาสิกา คงจะยาวเรียกไม่สะดวกปาก จึงถูกตัดเหลือเพียง สิกา แล้วกลายเป็น สีกา ในที่สุด

เมื่อมีอุบาสิกาแล้วก็ต้องมีอุบาสก ซึ่งหมายถึง ชายผู้แสดงตนเป็นคนนับถือพระพุทธศาสนา เรียกอย่างสั้นว่า ประสก

อุบาสิกาจึงคู่กับอุบาสก และสีกาก็คู่กับประสก


ที่มา 108 ซองคำถาม

ปรัชญาผ้าขี้ริ้ว

1.ผ้าขี้ริ้วยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด เสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข พ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อให้ลูกหลานอยู่สุขสบาย ความสุขแท้ของคนคือการได้ยืนแอบยิ้มอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ

2.ผ้าขี้ริ้วดูดซับความสกปรกได้ แต่ก็สลัดความสกปรกออกจากตัวได้ตลอดเวลา เสน่ห์ของคนอยู่ที่รู้ตัวเองว่าสกปรก ถึงเวลาต้องชำระล้างแล้ว มิใช่อมความสกปรกไว้แล้ว แกล้งบอกว่าตนเองสะอาด

3.ผ้าขี้ริ้วเป็น ผ้าที่สะอาดที่สุด ในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุด เหมือนคนที่ฝึกหัดขัดเกลาตนเอง รู้จักถ่อมตนและอ่อนโยน ไม่โอหังอวดดีให้เป็นที่รังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่น เขาจะเป็นคนที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะมาจากสกุลใด การศึกษามากหรือน้อยก็ตาม เป็นผู้ใฝ่รู้แต่ไม่อวดดี เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง

4.ผ้าขี้ริ้วถึงจะเป็นผ้าไม่มีราคา แต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ได้ เหมือนคนที่พยายามทำตนให้มีคุณค่า ด้วยการทำงานมิใช่ด้วยการประจบ ทำตนให้มีประโยชน์ ให้มีค่า ไม่ใช่งอมืองอเท้า น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาชะตาชีวิต ต้องสร้างกำลังใจให้ตนเองอย่ารอคอยจากคนอื่น

5.ผ้าขี้ริ้วไม่ เกี่ยงงอนว่าจะถูกใช้เช็ดถูอะไร เหมือนคนที่ยอมตัวอาสาทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ปริปากบ่น
รู้จักอาสาคน อาสาทำงาน ต้องตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่ว่าจะเป็นงานใด ๆ ก็ตาม คนที่ตกงานเพราะไม่ยอมทำงาน

6.ผ้าขี้ริ้วยอมให้ถูกใช้งานในที่ สกปรกที่สุด เหมือนคนที่ยอมทำในสิ่งที่คนทั้งหลายรังเกียจ ที่เขาเห็นว่าเป็นงานชั้นต่ำ แต่ก็ตั้งใจทำให้เป็นของมีค่าขึ้นมาได้ หรือยินดีในการบริการ เหมือนคนที่อิ่มเอิบเมื่อได้บริการรับใช้คนอื่น รับใช้สังคม ดีใจเมื่อคนยินดีมาใช้บริการความรู้ ความสามารถของตน และยินดีที่ได้เสนอตัวเข้าไปบริการมากกว่าเข้าไปบริหาร

7.ผ้าขี้ริ้วพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสะอาด เหมือนคนควรพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จของคนอื่น
ต้องมีความพอใจที่จะทำงานปิดทองหลังพระ เป็นนายอินหรือนางอิน ผู้ปิดทองหลังพระ มีความสุขและภูมิใจที่ได้มอบความสำเร็จให้คนอื่น มีมากที่ผู้น้อยบางคนทำงานแล้วทำให้ผู้ใหญ่เล็กลง ขณะที่ตัวเองโตขึ้น

8. ผ้าขี้ริ้วทนทานต่อการขัดถูซักล้างไม่เปราะบาง เหมือนคนที่มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหา แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็อดทนได้ เพื่อให้สำเร็จ ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น มีจิตใจหนักแน่นไม่เปราะบางหักง่าย คือไม่เป็นคนทุกข์ง่ายใจเบา แต่นิ่งและหนักแน่นคงดุจแผ่นดิน

9.ผ้าขี้ริ้วแม้จะถูกมองว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว แต่ไม่ทำตัวให้ขี้เหร่ เหมือนคนที่รู้ตัวเองว่า กำลังถูกคนปรามาสสบประมาท จะต้องตั้งใจเอาชนะอุปสรรค ตรงนั้นให้ได้ ไม่พ่ายแพ้ต่อคำปรามาสของผู้อื่น รู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรและมีกำลังใจในสิ่งนั้น มองเห็นคุณค่าจากสิ่งที่คนทั้งหลายมองว่าไร้ค่า เมื่อมีปัญหาให้หัดมองสองด้านเสมอ
ผ้าขี้ริ้วมีเสน่ห์เพราะยอมสัมผัสกับสิ่งสกปรก

เราต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าและมองเห็นค่าของตัวเองก่อน
แล้วเราจะไม่รู้สึกท้อแท้หมดหวัง

ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน หากทนความทุกข์ยากลำบาก
ยอมสัมผัสกับงานที่ต่ำต้อยได้ก็จะมีเสน่ห์ และมีความหมาย
ทุกคนจึงควรพากเพียรพยายามสร้างเสน่ห์ให้กับชีวิต
อย่างที่ผ้าขี้ริ้วสร้างเสน่ห์ให้กับตนเอง คุณเห็นด้วยไหม
ที่ว่าเราต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าและมองเห็นค่าของตัวเองก่อน

แล้วเราจะไม่รู้สึกท้อแท้หมดหวัง